ภายในจอภาพของ Plasma TV มีองค์ประกอบที่เต็มไปด้วย Neon Gas (ก๊าซนีออน ซึ่งแต่ละพิกเซลกำเนิดแสงได้เอง) แสดงภาพโดยการใช้แสงที่เกิดจากการแตกตัวประจุ ionized ของ Neon Gas แล้วแสดงผลของภาพออกมาที่แผงหน้าจอ
LED TV เป็นทีวีที่กระจายแสงด้วยหลอด LED (Light Emitting Diode) เป็นหลอดไฟขนาด “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสีนต่างๆ (จะสังเกตเห็นได้ว่า หลักการทำงานของเจ้าจอ LCD และ LED นั้นเหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนตัวกำเนิดแสงจากหลอก CCFL เป็นหลอด LED เท่านั้นเอง นี่คือสาเหตว่าทำไมบางบริษัทจึงเรียกเจ้าจอตัวนี้ว่า "LCD LED ทีวี")
และข้อมูลที่หลายคนไม่ค่อยทราบ คือ จอ LED ไม่ได้มีแบบเดียว! แต่จอ LED มีทั้ง 3 แบบด้วยกัน ขึ้นอยู่กันประเภทหลอด LED ในแผงทีวีค่ะ เรามาดูกันว่า LED TV มีประเภทใดบ้าง
1. EDGE LED : EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหลอดอยู่ที่ “ขอบ” โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ “ความบาง” ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆ ไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้าง ส่วนอีกเรื่องที่ดีของ Edge LED คือ ประหยัดไฟ เพราะใช้จำนวน อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆ เมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆ ได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง
สำหรับ EDGE LED TV ได้แก่ Samsung LED TV ทุกรุ่น, Sony NX700 NX800, LG LE5500 LE7500 ซึ่งถ้าเป็นตัวที่ราคาแพงหน่อยก็จะทำ Local Dimming ได้แบบรูปข้างบนด้วย
2. Full LED : สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED (Direct LED) เพราะว่ามีหลอดไฟอยู่ด้านหลังทั้งแผง คอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED หรือบางค่ายก็เรียก Direct LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlight ด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาว ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถทำได้ ส่วนข้อเสีย คือ ตัวเครื่องจะหนา เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปค่ะ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ LG รุ่น LE8500 รุ่นนี้ใช้ Full LED Backlight รวมถึง Philips รุ่น PFL9704 นี้ก็ใช้ Full LED Backlight เช่นกัน และรวมถึงรุ่นล่าสุดอย่าง LG LX9500 ตัวนี้เป็น Full LED 3 มิติด้วย แหล่มโคตร !!!
3. RGB LED : แบบสุดท้ายคือ RGB LED TV โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีขาวสีเดียวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น สดบาดตามากขึ้น (Vivid) เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก สามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามาถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆ ก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมาก และถึงสีจะสดมากขึ้น แต่ก็ไม่รับประกันว่าสีจะไม่เพี้ยนนะคะ โดย Sony เป็นยี่ห้อแรกที่ใช้ RGB LED แต่รุ่นใหม่ๆ ที่ผลิตมาก็เปลี่ยนเป็น Full LED เกือบทุกรุ่นแล้วค่ะ
1. ประหยัดไฟกว่า ด้วยความที่เป็นหลอดไฟ “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยความสามารถของเจ้า LED นั้นสามารถให้ “แสงสว่างได้ดีกว่าโดยที่ใช้ไฟน้อยกว่า” การกินไฟของ LED TV ขนาด 55" จะกินไฟเท่ากันกับ LCD TV ขนาด 32" ในการเปิดเท่ากันค่ะ (ข้อมูลจาก Samsung)
2. ด้วยขนาดหลอดที่เล็กกว่า ทำให้จอ LED TV มีความบางกว่า Plasma TV และ LCD TV ทั่วๆ ไปอย่างมหาศาล โดยความบางที่บางที่สุดอยู่ที่ 3มม. เท่านั้น! (Series C9000 ของ Samsung และยังไม่นับรวม OLED TV ซึ่งบางกว่านะคะ) และให้น้ำหนักที่เบากว่าค่ะ
ขอแนะนำตัวนี้เลย โทรทัศน์ Sharp LED TV 32 Analogue LC-32LE180M
ข้อเสียของ LED TV
1. มีระดับราคาที่สูงอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ (ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “คุ้มค่าหรือเปล่า” แต่แอดมินเลือกนะ เพราะให้ความแตกต่างในการรับชมที่ชัดเจน กับการลงทุนในช่วงนี้ ลองคิดอย่างนี้ค่ะ ถึงตอนนี้ค่าตัวของ LED TV จะแพงกว่า LCD TV แต่ LED TV ก็มีอัตราการกินไฟน้อยกว่า LCD TV อยู่ประมาณ 40-50% เลยทีเดียว) แค่นี้ก็คุ้มแล้ว สนใจสั่งซื้อ LED TV คลิกเลย https://www.thishop.com/detail/product?goodsId=112793935940096000